[metaslider id="42"]

dumbbell Fixed Weight

Read More

dumbbell Adjustable

Read More

dumbbell Selectorizrd

Read More

101: ดัมบ์เบล บาร์เบล เคตเติลเบล มือใหม่หัดยกอย่างเราจะใช้อันไหนดี

HIGHLIGHTS5 MINS. READ
American Council on Exercise ได้กล่าวไว้ว่า การฝึกด้วยฟรีเวทมอบความแข็งแรงโดยรวมได้ดีกว่าการใช้เครื่องบริหารร่างกาย เพราะเราสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเหมือนการถูกฟิกซ์ไว้กับเครื่อง
บาร์เบลมอบความมั่นคงขณะยกได้ดี เนื่องจากมีตัวช่วยในการรองรับน้ำหนัก และยังต้องใช้สองมือในการถือ ซึ่งต่างจากดัมบ์เบล เหมาะกับการเล่นกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างท่อนล่าง ด้วยท่าสควอตหรือเดดลิฟต์ รวมถึงท่าเล่นอก Bench Press ซึ่งล้วนเป็นท่าจำเป็น
ข้อดีของดัมบ์เบล ได้แก่ การที่มันเปิดโอกาสให้คุณยกทีละข้างได้ ซึ่งเหมาะในกรณีที่กล้ามเนื้อของคุณแข็งแรงไม่เท่ากัน ซึ่งทำได้โดยยกข้างที่อ่อนแอกว่าให้มากกว่าอีกข้าง
สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนส และไม่ได้จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวประกบติด เมื่อถึงคราวต้องออกกำลังกาย น่าจะงงเป็นไก่ตาแตกว่าท่ามกลางอุปกรณ์ต่างๆ ที่วางเรียงรายในฟิตเนส เราควรหยิบอย่างไหนมาใช้ออกกำลังกายดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ฟรีเวท (Free Weight) เช่น บาร์เบล ดัมบ์เบล หรือแม้แต่เคตเติลเบล ที่ใช้ออกกำลังกายท่าต่างๆ ได้เหมือนกัน แต่ทำไมบางคนถึงเลือกใช้อุปกรณ์กันคนละแบบ หลังจากอ่านคู่มือเบื้องต้นสำหรับมือใหญ่หัดยกกันแล้ว สัปดาห์นี้ เราเลยจะมาอธิบายเพิ่มเติมสักนิดว่า อุปกรณ์ต่างๆ ในฟิตเนสนั้น แต่ละชนิดมีข้อดี-ข้อด้อยต่างกันอย่างไร และใครเหมาะที่จะใช้แบบไหนมากที่สุด

ฟรีเวทคืออะไร

เวลาได้ยินคนพูดถึงโซนฟรีเวท อย่าเพิ่งเข้าใจว่าหมายถึงโซนที่ไม่มีเวท เพราะแท้จริงแล้ว ฟรีเวทเป็นชื่อเรียกอุปกรณ์เพิ่มแรงต้านในฟิตเนส ที่กล้ามเนื้อสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างเต็มระยะ (Range of Motion) และมีอิสระทางการเคลื่อนไหวได้มากกว่าเครื่องออกกำลังกาย อุปกรณ์เหล่านี้สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ เผาผลาญไขมัน ช่วยเรื่องการทรงตัว และเพิ่มประสิทธิภาพทางกีฬาได้เหมือนกับเครื่องบริหารร่างกายทุกประการ เผลอๆ ยังดีกว่าด้วย ตามที่ American Council on Exercise ได้กล่าวไว้ว่า การฝึกด้วยฟรีเวทมอบความแข็งแรงโดยรวมได้ดีกว่าการใช้เครื่องบริหารร่างกาย เพราะเราสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเหมือนการถูกฟิกซ์ไว้กับเครื่อง นอกจากนั้น การยกเวทด้วยอุปกรณ์เหล่านี้ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้ร่างกายทั่วทุกส่วน (สังเกตว่า คนยกฟรีเวทจะยืนเล่น ในขณะที่คนเล่นเครื่องจะนั่งเล่น) ส่งผลให้การทรงตัวพัฒนาไปด้วย

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี เนื่องจากอิสระในการเคลื่อนไหวนี้เอง ที่ทำให้การเล่นอุปกรณ์ฟรีเวทอาจเกิดการบาดเจ็บได้มากกว่าเล่นเครื่อง หากทำท่าไม่ถูกต้อง หรือกล้ามเนื้อไม่โตเท่าที่ควร เพราะโฟกัสผิดจุด ทางที่ดีจึงควรเริ่มต้นจากน้ำหนักที่ไม่สูงนัก ฝึกยกจนเชี่ยวชาญและคุ้นเคยแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักให้สูงขึ้น และควรระมัดระวังเรื่องการหยิบหรือเก็บคืนอุปกรณ์ให้ดี เพราะมีคนจำนวนมากไม่ได้บาดเจ็บขณะยกเวท แต่บาดเจ็บจากการหยิบอุปกรณ์เหล่านี้แบบผิดๆ จำไว้ว่า เวลาหยิบของหนักจากพื้นหรือจากชั้น ควรเกร็งแกนกลางลำตัว หลังตรง ย่อเข่า แล้วเอาเท้ายันพื้นขึ้นยืน ไม่ใช่เอนตัวก้มลงไปหยิบ อย่างนั้นหลังเดาะเจ็บตัวแน่ๆ

อุปกรณ์ฟรีเวทมีอะไรบ้าง

เอาล่ะ เมื่อทราบถึงข้อดีและข้อด้อยของอุปกรณ์ฟรีเวทกันแล้ว เรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่าอุปกรณ์ที่มักพบเห็นตามฟิตเนสนั้นมีอะไรกันบ้าง

บาร์เบล (Barbell)

หากคุณเห็นท่อเหล็กใหญ่ๆ ที่เงาวับวาว มีแผ่นเหล็กกลมๆ อยู่ด้านปลาย นั่นแหละคือบาร์เบล อุปกรณ์ชนิดนี้มีลักษณะเป็นบาร์ที่ทำจากเหล็ก แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บาร์โอลิมปิกที่เส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 1-2 นิ้ว ยาว 2.2 เมตร คานอย่างเดียวหนัก 20 กิโลกรัม บาร์ลักษณะนี้ใช้สำหรับเล่นท่าที่พวกโอลิมปิกลิฟติ้งยกกัน เช่น Clean & Jerk และ Snatch ซึ่งเป็นระดับแอดวานซ์ สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ถึง 362 กิโลกรัม บาร์อีกประเภทต่างหากที่เหมาะกับคนเริ่มต้นมากกว่า ได้แก่ บาร์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ยาว 1.8 เมตร คานหนักราวๆ 11 กิโลกรัม สามารถเพิ่มน้ำหนักได้ถึง 90 กิโลกรัม จะเห็นได้ว่า ด้วยความที่มันสามารถเพิ่มน้ำหนักได้มาก จึงทำให้บาร์เบลได้รับความนิยมในหมู่คนที่ต้องการเล่นหนักๆ สายบ้าพลัง เพราะบาร์เบลมอบความมั่นคงขณะยกได้ดี เนื่องจากมีตัวช่วยในการรองรับน้ำหนัก และยังต้องใช้สองมือในการถือ ซึ่งต่างจากดัมเบล เหมาะกับการเล่นกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างท่อนล่าง ด้วยท่าสควอตหรือเดดลิฟต์ รวมถึงท่าเล่นอก Bench Press ซึ่งล้วนเป็นท่าจำเป็นสำหรับผู้เริ่มต้นจับบาร์ ควรเริ่มจากการฝึกทำท่าต่างๆ ด้วยบาร์อย่างเดียวก่อน ยังไม่ต้องใส่เพลตเพิ่มน้ำหนัก เพราะกล้ามเนื้อของคุณอาจยังไม่แข็งแรงเพียงพอ ลำพังบาร์อย่างเดียวก็หนักอึ้งกว่าสิบกิโลกรัมแล้ว ทางที่ดีควรฝึกท่าให้คล่องก่อน แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักทีละนิด อย่าบ้าพลังใส่ทีเดียว แต่เจ็บไปหลายสัปดาห์

ดัมบ์เบล (Dumbbell)

ดัมบ์เบล นับเป็นอุปกรณ์สุดคลาสสิกที่คนรู้จักมากที่สุด และมีให้เลือกใช้มากที่สุดในฟิตเนส ข้อดีของดัมบ์เบล ได้แก่ การที่มันเปิดโอกาสให้คุณยกทีละข้างได้ ซึ่งเหมาะในกรณีที่กล้ามเนื้อของคุณแข็งแรงไม่เท่ากัน ซึ่งทำได้โดยยกข้างที่อ่อนแอกว่าให้มากกว่าอีกข้าง เช่น ยกข้างขวา 8 ครั้ง ข้างซ้ายอาจจะยก 10 ครั้ง เป็นต้น และด้วยความที่เราต้องยกด้วยแขนคนละข้าง ทำให้เราต้องออกแรงแกนกลางลำตัวมากขึ้น เพื่อทรงตัวไม่ให้ยืนโอนเอนไปมา ซึ่งหากโฟกัสได้อย่างถูกจุด เผลอๆ ได้กล้ามท้องมาเป็นของแถมด้วย

อีกทั้งดัมบ์เบลยังเหมาะสำหรับการเล่นท่าที่ต้องการใช้แขนอีกข้างช่วยพยุงร่างกาย เช่น ท่า Bent-Over Row เพื่อลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ หรือท่า Shoulder Press ที่ดัมเบลล์เปิดโอกาสให้คุณยกแขนขึ้นสลับซ้ายขวา เทคนิคนี้ช่วยลดความเสี่ยงของเอ็นหัวไหล่อักเสบได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ น้ำหนักเริ่มต้นของดัมบ์เบลอยู่ที่ 2 กิโลกรัมเท่านั้น จึงเหมาะมากสำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังมีกล้ามเนื้อไม่มากนัก

เคตเติลเบล (Kettlebell)

อุปกรณ์ชนิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากประเทศรัสเซีย ตั้งแต่ทศวรรษที่ 19 นี่จึงไม่ใช่อุปกรณ์สมัยใหม่อย่างที่หลายคนเข้าใจ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่มีลักษณะเป็นลูกเหล็กมีหูหิ้ว คนจึงนิยมเรียกันว่า ตุ้มเหล็ก ซึ่งข้อดีของมันอยู่ที่ห่วงหรือที่จับนี่เอง เพราะเราสามารถแกว่งเคตเติลเบลเพื่อปั้นกล้ามและเบิร์นไขมันได้ในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะกับท่าอย่าง Kettlebell Swing ที่หากทำอย่างถูกต้องแล้ว สามารถเบิร์นไขมันและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้บั้นท้ายและต้นขาหลังได้เป็นอย่างดี มอบความลื่นไหลในการทำงานต่อเนื่องได้ดีกว่าสองอุปกรณ์ที่กล่าวไปข้างต้น แต่ก็ต้องแลกมากับลักษณะการจับที่ไม่คุ้นมือ และต้องรู้จังหวะในการพลิกหรือบิดข้อมือเพื่อเปลี่ยนท่า ไม่เช่นนั้นอาจโดนตุ้มเหล็กฟาดแขนได้ ควรเริ่มที่น้ำหนักน้อยๆ แล้วค่อยไต่ระดับความหนักไป

ยางยืด (Resistance Band)

อย่าได้สบประมาทยางยืดบางๆ เหล่านี้เชียว เพราะพวกมันแข็งแรงกว่าที่คิด น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ปัจจุบันเทรนเนอร์หลายคนนิยมใช้ยางยืดในการเทรนลูกค้า เพราะไม่หนักและไม่เบาจนเกินไป จุดเด่นอยู่ที่ยางยืด ทำให้เราต้องออกแรงทั้งตอนยืดและตอนคืนยางที่เราต้องคอยรั้งไม่ให้ยางดีดกลับเร็วเกินไป ถือเป็นการบริหารกล้ามเนื้อไปในตัว ยิ่งยืดออกไปมาก ยิ่งเกิดแรงต้านมาก สามารถใช้แทนดัมเบลได้เลย แต่อาจไม่เหมาะสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อที่ใหญ่โต เหมาะกับการเล่นกล้ามเนื้อมัดเล็ก เน้นทำถี่ๆ ไม่ต้องหนักมาก

5 ท่ายกดัมเบล เวท เทรนนิ่ง เล่น ชุด ออกกําลังกาย

ดัมเบลที่เราจะใช้ออกกำลังกาย สามารถใช้ได้ตั้งแต่ดัมเบลน้ำหนัก 0.5-20 กิโลกรัม หรือหากใครไม่มีดัมเบลจะใช้ขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตรใส่น้ำหรือทรายให้เต็มแทนก็ได้ และก่อนจะออกกำลังกายด้วยดัมเบลควรจะวอร์มอัพก่อน

การวอร์มอัพ
คาร์ดิโอประมาณ 5-10 นาที จากนั้นคูลดาวน์ และยืดเหยียดร่างกายอีก 5-10 นาที เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกาย รวมทั้งเพื่อลดโอกาสบาดเจ็บในระหว่างออกกำลังกายด้วย

ท่าออกกำลังกายโดยใช้ดัมเบล

  1. Dumbbell Lunges

ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อขาหลัง และกล้ามเนื้อก้น

มือทั้งสองข้างถือดัมเบลให้มั่น ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่
– ย่อขาซ้ายจนขาขวาตั้งทำมุม 90 องศากับพื้น ค้างท่าไว้ 10-20 วินาที แล้วกลับคืนสู่ท่าเดิม
– สลับทำอีกข้าง

  1. Dumbbell Chest Press ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อหน้าอก และต้นแขน – นอนหงายเหยียดตรง มือถือดัมเบลทั้งสองข้างให้มั่น – เหยียดแขนขึ้นตรงทั้งสองข้าง ค้างท่าไว้ 10-20 วินาที – สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ลดดัมเบลลงมา โดยแขนอยู่ในลักษณะกางออกข้างตัว ต้นแขนส่วนบนขนานไปกับพื้น – ยกดัมเบลขึ้นไปใหม่จนครบเซต
  1. Dumbbell Single-arm Rows ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแขน – มือถือดัมเบลหนึ่งข้าง – เท้าขาไว้ที่เก้าอี้ เตียง หรือพื้นที่มั่นคง โดยให้ขาข้างที่ยันพื้นอยู่เหยียดตรง – ยกดัมเบลขึ้นมาจนข้อศอกขนานกับช่วงไหล่ ค้างท่าไว้สักพัก จากนั้นคืนสู่ท่าเริ่มต้น – ทำให้ครบเซต แล้วสลับมาทำอีกข้างเท่า ๆ กัน
  1. Dumbbell Romanian Deadlift ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อก้น – มือถือดัมเบลทั้งสองข้างให้มั่น ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ – ก้มตัวลงมากึ่งท่าสควอท ยกดัมเบลเข้าหากัน แขนเหยียดตรง ค้างท่าไว้สักพักแล้วกลับคืนสู่ท่าเริ่มต้น – ทำจนครบเซต
  1. Dumbbell Shoulder Press ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อแขน – มือทั้งสองข้างถือดัมเบล ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ – ชูดัมเบลขึ้นเหนือศีรษะ แขนเหยียดตรง ปลายดัมเบลชิดติดกัน แล้วค้างท่าไว้สักพัก – ลดดัมเบลลงมาให้ศอกตั้งฉากกับพื้น – เริ่มใหม่จนครบเซต

เคล็ดลับกระชับต้นแขน ด้วยดัมเบล

พอพูดถึงเรื่องออกกำลังกาย สาวๆ หลายคนก็เริ่มทำหน้าบูด แต่อยากบอกว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนี่แหละคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้คุณมีรูปร่างที่กระชับ สมสวนที่สุดได้อย่างถาวร อย่างที่เทรนเนอร์ชื่อดังพูดกรอกหูอยู่เสมอว่า “No Pain No Gain” หรือ แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ก็คือ “ความสำเร็จย่อมต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด” นั่นเอง สำหรับสาวๆที่อยากมีต้นแขนที่กระชับ เรียวสวยได้รูป ใส่เสื้อกล้าม เสื้อแขนกุด และเกาะอกได้อย่างมั่นใจ ก็รีบลุกขึ้นมาออกกำลังกายด้วยดัมเบลเถิดครับ

สำหรับสาวๆ ที่อยากเริ่มต้นออกกำลังกายด้วยดัมเบล แต่กลัวว่าแขนจะล่ำเป็นกล้ามปูแบบหนุ่มๆ ก็ต้องบอกว่า ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ เพราะสรีระตามธรรมชาติของผู้หญิงแตกต่างจากผู้ชาย หากคุณสาวๆ จะมีกล้ามโตๆ ล่ำๆแบบจอร์จ ต้องยกเวทน้ำหนักไม่ต่ำว่า 70-100 กิโลกรัมขึ้นไป ส่วนที่ยกขำๆ 500 กรัม – 5 กิโลกรัม บอกได้เลยว่าห่างไกลคำว่า “กล้ามปู” เยอะครับ

แต่สิ่งที่สาวๆ จะได้จากการออกกำลังกายด้วยดัมเบลก็คือไขมันจะถูกรีดออกไปได้มากกว่า กล้ามเนื้อสร้างได้เร็วและมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นแขนกระชับ เรียวสวย ได้รูปและถาวรกว่าการนวด สนใจแล้วใช่ไหมล่ะครับ วันนี้จอร์จมี 2 ท่ากระชับต้นแขนด้วยดัมเบล ที่จัดเป็นท่าที่สามารถกระชับต้นแขนอย่างได้ผลหากทำถูกวิธีและสม่ำเสมอ พร้อมแล้วก็วอร์มร่างกาย หยิบดัมเบลแล้วตามจอร์จมาเลยครับ

1.Bicep Curl

เรามาเริ่มกันที่การกระชับกล้ามเนื้อแขนส่วนบน หรือ Bicep
ยืนกางขาให้ความกว้างพอดีกับหัวไหล่ ย่อเข่าเล็กน้อย ถือดัมเบลไว้ในมือทั้งสองข้างวางข้างลำตัวหงายมือขึ้น
บีบข้อศอกให้ชิดลำตัว แล้วยกแขนทั้งสองข้าง พับข้อศอกยกขึ้นช้าจนเกือบถึงหัวไหล่
ค่อยๆ ลดมือลงกลับสู่ท่าเริ่มต้น นับเป็น 1 ครั้ง
ทำเซ็ตละ 15-20 ครั้ง 5 เซ็ต

Tip: ระหว่างการยกบีบข้อศอกให้ชิดลำตัวเสมอเพื่อให้ใช้งานกล้ามเนื้อ Bicep ได้เต็มที่ อย่าใช้วิธีการยกโดยการเหวี่ยงแขน เพราะไม่ช่วยให้กล้ามเนื้อได้ออกแรง ต้นแขนก็ไม่กระชับ และอาจบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อส่วนอื่นได้ อย่าลืมเกร็งหน้าท้อง และอย่ากลั้นหายใจขณะออกกำลังกายนะครับ

2 Tricep Kick Back

สำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาท้องแขนย้วย กระพือทุกครั้งที่ยกแขน บอกเลยว่าท่านี้เอาอยู่แน่นอน
เริ่มต้นด้วยการยืนกางขาความกว้างเท่าหัวไหล่ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้า ถือดัมเบลชิดหน้าอก บีบข้อศอกเข้าชิดลำตัว ส่วนหัวเข่าจะงอหรือไม่งอก็ได้
หายใจออกพร้อมเหยียดแขนไปด้านหลังให้สุด จากนั้นดึงกับมาวางชิดหน้าอกอีกครั้ง นับเป็น 1 ครั้ง
ทำเซ็ตละ 15-20 ครั้ง 5 เซ็ต

Tip: ระหว่างยกต้องบีบข้อศอกให้ชิดลำตัวทุกครั้งและหลังต้องตรงเสมอ ระวังอย่าใช้วิธีเหวี่ยงไปข้างหลัง ให้กล้ามเนื้อส่วนหลังแขนได้ใช้งานมากที่สุด

ทำตาม 2 ท่านี้อย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าคุณจะมีต้นแขนที่กระชับ เรียวสวยได้ในเวลาไม่นาน แต่อย่าลืมควบคุมอาหารด้วยนะครับ สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มใช้ดัมเบลออกกำลังกาย จอร์จก็มีเคล็บลับดีๆในการเลือกซื้อดัมเบลมาฝาก เพื่อให้คุณออกกำลังกายได้อย่างถูกต้อง เห็นผล และออกกำลังกายได้อย่างยั่งยืน ดังต่อไปนี้

เริ่มต้นที่น้ำหนักเบาๆก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ค่อยๆปรับตัวและป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกาย
ลองยกทดสอบน้ำหนักดู ถ้าคุณยกแบบ Curl ได้ 8-12 ครั้ง แล้วรู้สึกล้า หรือหมดแรงพอดี นั่นคือน้ำหนักที่เหมาะสมครับ ถ้ายกได้น้อยกว่า แสดงว่าหนักเกินไป อาจทำให้บาดเจ็บ จนไม่อยากออกกำลังกายต่อ แต่ถ้ายกได้มากกวา 12 แล้วยังชิลๆ ขอแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยครับ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อออกกำลังกายด้วยดัมเบลไปสักระยะหนึ่ง จอร์จแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยเช่นจาก 500 กรัม เป็น 750 กรัม หรือ 1 กิโลกรัม เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ใช้งานหนักขึ้นแข็งแรงขึ้น

9 ท่าออกกำลังกายด้วยดัมเบล โปรแกรมเดียวเฟิร์มทั้งตัว

  1. Dumbbell Lunges ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อขาหลัง และกล้ามเนื้อก้น - มือทั้งสองข้างถือดัมเบลให้มั่น ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ - ย่อขาซ้ายจนขาขวาตั้งทำมุม 90 องศากับพื้น ค้างท่าไว้ 10-20 วินาที แล้วกลับคืนสู่ท่าเดิม - สลับทำอีกข้าง
  1. Dumbbell Chest Press ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อหน้าอก และต้นแขน - นอนหงายเหยียดตรง มือถือดัมเบลทั้งสองข้างให้มั่น - เหยียดแขนขึ้นตรงทั้งสองข้าง ค้างท่าไว้ 10-20 วินาที - สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ลดดัมเบลลงมา โดยแขนอยู่ในลักษณะกางออกข้างตัว ต้นแขนส่วนบนขนานไปกับพื้น - ยกดัมเบลขึ้นไปใหม่จนครบเซต
  1. Dumbbell Single-arm Rows ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแขน - มือถือดัมเบลหนึ่งข้าง - เท้าขาไว้ที่เก้าอี้ เตียง หรือพื้นที่มั่นคง โดยให้ขาข้างที่ยันพื้นอยู่เหยียดตรง - ยกดัมเบลขึ้นมาจนข้อศอกขนานกับช่วงไหล่ ค้างท่าไว้สักพัก จากนั้นคืนสู่ท่าเริ่มต้น - ทำให้ครบเซต แล้วสลับมาทำอีกข้างเท่า ๆ กัน
  1. Dumbbell Romanian Deadlifts ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อก้น - มือถือดัมเบลทั้งสองข้างให้มั่น ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ - ก้มตัวลงมากึ่งท่าสควอท ยกดัมเบลเข้าหากัน แขนเหยียดตรง ค้างท่าไว้สักพักแล้วกลับคืนสู่ท่าเริ่มต้น - ทำจนครบเซต
  1. Dumbbell Shoulder Press ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อแขน - มือทั้งสองข้างถือดัมเบล ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ - ชูดัมเบลขึ้นเหนือศีรษะ แขนเหยียดตรง ปลายดัมเบลชิดติดกัน แล้วค้างท่าไว้สักพัก - ลดดัมเบลลงมาให้ศอกตั้งฉากกับพื้น - เริ่มใหม่จนครบเซต
  1. Dumbbell Pile Squats ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง และกล้ามเนื้อก้น - เลือกดัมเบลน้ำหนักมากที่สุดมา 1 อัน แล้วถือดัมเบลด้วยมือทั้งสองข้าง - ย่อตัวลงในท่าสควอท โดยให้ดัมเบลอยู่ด้านหน้าระหว่างขาทั้งสองข้าง - ค้างท่าไว้สักพักแล้วจึงกลับสู่ท่าเริ่มต้น จากนั้นทำซ้ำจนครบเซต
  1. Dumbbell Biceps Curl ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อแขนด้านใน - ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ มือถือดัมเบลทั้งสองข้าง งอข้อศอกเล็กน้อย และหงายข้อมือเข้าหาตัว - ค่อย ๆ ยกดัมเบลขึ้นมาให้ถึงไหล่ ค้างท่าไว้สักพัก และกลับสู่ท่าเริ่มต้น - ทำซ้ำจนครบเซต
  1. Dumbbell Triceps Extension ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อแขนด้านหลัง - ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ มือถือดัมเบลขนาดหนักที่สุด 1 อัน - ยกดัมเบลข้ามศีรษะไปทางด้านหลัง พยายามเกร็งแขนและลดดัมเบลไปใกล้หลังให้มากที่สุด - ค้างท่าไว้สักพัก จากนั้นคืนสู่ท่าเริ่มต้น - ทำซ้ำจนครบเซต
  1. Side Bend ส่วนที่ได้กระชับ : กล้ามเนื้อหน้าท้อง, เอว - มือถือดัมเบลทั้งสองข้าง ยืนกางขาเท่าช่วงไหล่ - เอนตัวมาทางด้านขวา ให้ระดับดัมเบลอยู่ประมาณเข่า โดยที่หลังยังเหยียดตรงเสมอ ค้างท่าไว้สักพัก - กลับคืนสู่ท่าเริ่มต้น แล้วเอนตัวมาทางด้านขวา - ทำซ้ำจนครบเซต อย่างน้อย ๆ ออกกำลังกายด้วยดัมเบลตามโปรแกรมนี้ให้ได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง และทำอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเฟิร์มรูปร่างให้เราได้ทั้งตัวแล้วนะคะ แต่หากใครสามารถเล่นโปรแกรมนี้ได้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็จะยิ่งเห็นผลไวมากขึ้นไปอีก ทว่าแนะนำให้ออกกำลังกายด้วยดัมเบลวันเว้นวัน เพื่อให้กล้ามเนื้อได้คลายความอ่อนล้าและช่วยลดโอกาสบาดเจ็บ

มีแค่ดัมเบลคู่เดียว ก็ฟิตหุ่นได้ รวมท่าออกกำลังกายบิ้วท์กล้าม

สวัสดีจ้า สาวๆ ที่กำลังดูแลรูปร่างทั้งฟิตหุ้น และบิ้วท์กล้ามกันแบบจริงจัง วันนี้ญาดามีท่าออกกำลังกายที่ใช้แค่ “ดัมเบล” คู่เดียวมาฝากกันค่ะ ถ้าไม่มี ก็ลองใช้ขวดน้ำมายกแทนก็ได้นะคะ ได้ผลเหมือนกันค่าา

ท่าออกกำลังกายที่หยิบมาแชร์กันนี้ มีทั้งท่าที่โฟกัสเฉพาะจุด และท่าออกกำลังกายแบบผสมผสาน ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหลายๆ มัดพร้อมกัน จะได้ฝึกการใช้งาน เส้นประสาท (Neuron) ที่ส่งผ่านมาจากสมองค่ะ เพราะขณะที่สมองแต่ละเส้นทำงานจะช่วยให้เราเผาผลาญหนักกว่าเดิม

ถ้าลองออกกำลังกาย 2 ท่าเทียบกัน อย่าง “ซิดอัพ” กับ “สควอช” จะรู้สึกเลยว่า ท่าควอช นี่ทำให้เราเหนื่อยกว่ามาก แบบแทบเดี้ยงได้เลยค่ะ

ยิ่งเหนื่อยมาก ก็ยิ่งเบิร์นได้มากขึ้นกว่าเดิมค่ะ แต่มีข้อเสียคือเราจะโฟกัสได้ไม่ถูกจุดเท่ากับการแยกเล่นทีละท่า ก่อนจะเลือกเล่นท่าไหน ต้องดูจุดประสงค์ก่อนนะคะ

  • ท่าออกกำลังกายแบบผสมผสาน เน้นเผาผลาญแคลอรี่
  • ท่าออกกำลังกายแบบโฟกัสเฉพาะจุด เน้นสร้างกล้ามเนื้อ

รู้แบบนี้แล้ว ก็ไปเลือกท่าออกกำลังกายตามความต้องการได้เลยค่าา

Squat + Shoulder Press

ท่านี้เป็นท่าที่ผสมผสานระหว่างการเล่นขาด้วยท่า Squat และการเล่นไหล่รวม (ทั้ง 3 มัด) ด้วยท่า Shoulder Press ท่านี้จะใช้แกนกลางลำตัวหนักกว่าเดิม เพราะต้องส่งแรงผ่านจากขาขึ้นไปข้างบนเลยค่ะ

  1. เริ่มจากตั้งท่าด้วยการถือดัมเบลไว้ 2 มือแบบนี้เลย
  2. สควอชลงไปแต่มือก็ยังถือดัมเบลไว้แบบเดิมนะคะ สังเกตว่าจะยากกว่าสควอชธรรมดา เหมือนต้องทรงตัวมากกว่าเดิมใช่ไหมคะจังหวะที่ขึ้นมาให้ยกดัมเบลขึ้นตรงๆ เหนือหัวด้วย 

ท่ายกดัมเบลแบบนี้คือท่าเล่นไหล่ค่ะ ทำซ้ำ 8-12 ครั้ง หรือถ้าเบาไปก็สามารถเพิ่มน้ำหนักของดัมเบลได้ แต่ขาเราย่อมแข็งแรงกว่าหัวไหล่ ถ้าใครไม่อยากใช้ไหล่ยกหนักมากก็ทำท่านี้ซัก 20 ครั้งได้นะคะ 3-4 เซ็ตค่า

Lunge + Bicep Curl
“Lunge + Bicep Curl”

Lunge + Bicep Curl

เป็นท่าที่ผสมการเล่นขา ที่จะเน้นส่วนของขาด้านหลัง บวกกับหน้าแขนค่ะ

  1. เริ่มจากก้าวขา 1 ข้างออกมาให้ไกลหน่อย ให้ตอนย่อเข่าไม่เลยปลายเท้านะคะ 2 มือถือดัมเบลไว้ข้างตัว
  2. ย่อเข่าลงไปให้เกือบแตะพื้น จากนั้นใช้หน้าแขนยกดัมเบลขึ้นมา

ทำแบบนี้กับอีกข้างด้วยนะคะ ข้างละ 6-10 ครั้งได้เลย 3-4 เซ็ตค่ะ

Overhead Side Lunge
“Overhead Side Lunge”

Overhead Side Lunge

ท่านี้เราจะใช้สกิลการทรงตัวอย่างพอสมควรเลยค่ะ เนื่องจากญาดาจะให้ทุกคนเพิ่มการทำงานของแกนกลางลำตัวด้วยการถือดัมเบลไว้เหนือหัว รับประกันใจเต้นตูมตามแน่นอน

  1. เริ่มจากชูมือถือดัมเบลไว้เหนือหัวเลยค่ะ
  2. ยกขาขึ้นมาหนึ่งข้างแล้วก้าวออกไปด้านข้าง ทิ้งน้ำหนักไปด้านที่ก้าวค่ะ
  3. ส่งแรงจากขานั้นให้กลับมายืนเหมือนเดิม จากนั้นยกขาอีกข้างและก้าวออกไปเหมือนกัน 

ทำสลับกันแบบนี้นะคะ รวมทั้ง 2 ข้างให้ได้ 12-16 ครั้งค่ะ 3-4 เซ็ต

Plank Row
“Plank Row”

Plank Row

ท่านี้เป็นท่าผสมการเล่นแกนกลางลำตัว + หลังค่ะ เอาท้องใหญ่ๆ กับหลังปลิ้นๆ ออก

  1. เริ่มจากเราจะต้องอยู่ในท่า Plank ก่อน แต่ 2 มือของเราก็คือถือดัมเบลไว้ค่ะ 5555
  2. ทำการยกดัมเบลผ่านสีข้างขึ้นมา โดยยกทีละข้างนะคะ ข้างที่ยกเราจะใช้ปีกหลังดึง อีกข้างนึงก็จะต้องรับน้ำหนักตัวไว้ ถ้าเราไม่รู้สึกก็อาจจะเป็นเพราะมันเกร็งไปทั้งตัวเลยค่ะ แทบจะล้มหน้าฟาดกันได้เลย

ทำสลับซ้าย-ขวาแบบนี้ เริ่มจากข้างละ 6 ทีก่อนก็ได้ค่ะ ซักพักค่อยเพิ่มเป็น 8-10 ที 3-4 เซ็ตค่า

Side Plank Lateral Raise
“Side Plank Lateral Raise”

Side Plank Lateral Raise

เป็นอีกท่ายากที่กำจัดไขมันรอบเอว และยังใช้ไหล่หลังเข้ามาใช้งานด้วยค่ะ

  1. เริ่มจาก Side Plank แล้วถือดัมเบลขึ้นไปเหนือหัวเลยค่ะ
  2. สอดดัมเบลเข้าไปที่สีข้าง จังหวะนี้จะเมื่อยเอวมากๆ
  3. ยกกลับขึ้นมาที่เดิมค่ะ 

ทำทีละข้างนะคะ ข้างละ 8-12 ครั้งค่ะ 3-4 เซ็ตค่า

Glute Bridge
“Glute Bridge”

Glute Bridge

ท่านี้เป็นท่าเล่นก้นค่ะ จริงๆ จะเอาน้ำหนักอะไรมาวางก็ได้ค่ะ เพราะก้นเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มันแข็งแรงยกได้หนักอยู่แล้ว แต่ถ้าเพิ่มเริ่มทำก็เบาๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวเจ็บหลังเอาได้ค่า

  1. เริ่มจากนอนชันเข่า เอาดัมเบลวางที่ข้อพับค่ะ
  2. ใช้ก้นยกขึ้นมาให้สุดติ่งเลยค่ะ พร้อมกับขมิบหรือ Squeeze ก้นให้สุดแรงตอนขึ้นด้วย ถ้าเล่นน้ำหนักเยอะก็ยกประมาณ 8-12 ครั้งค่ะ ถ้าน้ำหนักน้อยก็ 20 ครั้งไปเลยค่ะ 3-4 เซ็ต
Chest Press
“Chest Press”

Chest Press

มาที่ท่าเก็บเหนียงปลิ้นข้างรักแร้กันบ้างค่ะ ในเมื่อเราไม่มี Machine เราก็เอาดัมเบลมาค่ะ

  1. เริ่มจากนอนราบ แต่ให้แอ่นอกเล็กน้อยเพื่อเราจะได้เพิ่ม Range ของการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ มันจะโดนมากกว่าเดิม
  2. ยกดัมเบลขึ้นไปตรงๆ แต่อยากให้โฟกัสว่าใช้อกยกนะคะ ยกขึ้นลงด้วยน้ำหนักเบาๆ ก่อนก็ได้ค่ะ ฝึกโฟกัสไป 16 ครั้ง 3-4 เซ็ต
Chest Fly
“Chest Fly”

Chest Fly

มาต่อด้วยอกอีกท่า ท่านี้เป็นท่าบีบ ซึ่งจะโดนกว่าท่าเมื่อกี้แน่ๆ ค่ะ กำจัดเหนียงปลิ้นข้างรักแร้เหมือนเดิม

  1. เริ่มจากนอนกับพื้น กางมือที่ถือดัมเบลออก และแอ่นอกรับเล็กน้อยเหมือนเดิม
  2. ส่งแรงจากอกบีบเข้ามา จนดัมเบลประกบกันได้ ใช้น้ำหนักเบาๆ ก่อนค่ะ 16 ครั้ง 3-4 เซ็ต
Dumbbell Row
“Dumbbell Row”

Dumbbell Row

มาต่อด้วยท่าเล่นหลัง กำจัดเหนียงที่หลังกันบ้างนะคะ อิอิ เริ่มจากยืนพับตัว ห้ามหลังแอ่นนะคะ ดึงดัมเบลขึ้นมาด้วยปีกหลังทั้ง 2 ข้างของเรา ดึงผ่านสีข้างขึ้นมานะคะ

ตอนที่ดึงขึ้นมาอยากให้ฟีลถึงกลางหลังด้วยค่ะ จะได้สัมผัสได้ว่าเราใช้หลังดึง ดึงน้ำหนักเบาๆ ก่อนค่ะ ฝึกโฟกัสก่อน ซัก 16 ครั้ง 3-4 เซ็ต

Crunch
“Crunch”

Crunch

ท่านี้เป็นท่าเล่นท้องค่ะ เพียงแต่เราเอาดัมเบลมาถือเพื่อที่จะให้ท้องทำงานหนักมากขึ้นค่ะ

  1. เริ่มจากนอนชันเข่า สองมือจับดัมเบลไว้ค่ะ
  2. จากนั้นถือดัมเบลขึ้นมา แล้วโฟกัสไปที่ท้อง ใช้ท้องยกนะคะ ทำ 10-20 ครั้งเลยค่ะ 3-4 เซ็ต
V-up
“V-up”

V-up

ท่านี้เป็นท่าเล่นท้องที่ยากท่านึงเลยค่ะ เนื่องจากว่าเราต้องประกบท้องบนกับท้องล่างให้มาเจอกันให้ได้ ไหนจะยังใช้ดัมเบลอีก ใครไม่ไหวก็เอาดัมเบลออกไปนะคะ 5555

  1. เริ่มจากนอนอ้าซ่าแบบนี้เลยค่ะ 55555 จากนั้นบังคับหลังล่างของเราให้ติดเบาะ ห้ามหลังล่างลอยเลยนะคะ ไม่งั้นน้ำหนักจะไปลงหลังล่างแล้วจะเจ็บได้ค่า
  2. ยกขาขึ้นมาก่อนนิดนึงค่ะ
  3. จากนั้นจังหวะที่ขากำลังจะขึ้นมามากกว่านี้ ให้ยกดัมเบลมาประกบกับขาค่ะ
Front Raise
“Front Raise”

Front Raise

มากันที่หัวไหล่บ้างค่ะ บางคนก็ไขมันพอกหัวไหล่ ก็ต้องยกเพื่อความกระชับกันหน่อย ใครกลัวกล้ามขึ้นก็ยกน้ำหนักน้อยๆ จำนวนครั้งเยอะๆ นะคะ

  1. เริ่มจากยืนตรง มือ 2 ข้างถือดัมเบล
  2. ยกดัมเบลขึ้นมาข้างหน้าตรงๆ อย่ายกเลยเส้นขนาดกับพื้นนะคะ มันจะเกินการทำงานของหัวไหล่ค่ะ โฟกัสไปที่ไหล่หน้า ถ้ายกน้ำหนักเบาๆ ก็ประมาณ 16 ครั้งค่า 3-4 เซ็ต
Side Lateral Raise
“Side Lateral Raise”

Side Lateral Raise

คราวนี้ไหล่ด้านข้างบ้างค่ะ ท่าไม่ค่อยต่างอะไรกับเมื่อกี้ แค่ยกขึ้นมาด้านข้างเป็นรูปตัว Y ค่ะ

ยืนตรงมือ 2 ข้างถือดัมเบล ยกดัมเบลขึ้นมาเป็นรูปตัว Y อย่าลอยเกินเส้นขนานกับพื้นนะคะ โฟกัสไปที่ไหล่ข้างค่ะ ถ้ายกน้ำหนักเบาๆ ก็ประมาณ 16 ครั้งค่า 3-4 เซ็ต

Rear Deltoid Fly
“Rear Deltoid Fly”

Rear Deltoid Fly

คราวนี้มาที่ไหล่หลังบ้างค่ะ ญาดาเอาท่ามาฝากทั้งท่ายืนและท่านั่งเลย เพราะถ้าเราโฟกัสไม่ถูกเราอาจจะใช้ตัวช่วยโยก ใครโฟกัสไม่ได้ก็นั่งทำเอานะค้า

  1. เริ่มจากจะยืนพับตัว หรือนั่งพับตัวเหมือนในรูปค่ะ
  2. ยกดัมเบลขึ้นมาข้างลำตัว แต่โน้มไปข้างหน้านิดนึงค่ะ อย่ามาด้านข้างเกินไป เดี๋ยวจะเจ็บช่วงสะบักหลัง Scapular ยกน้ำหนักเบาๆ ก่อนนะคะ เดี๋ยวเจ็บ 12-16 ครั้ง 3-4 เซ็ตค่า

นี่ก็เป็นท่าออกกำลังกายง่ายๆ ที่ญาดาเอามาแชร์กัน ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะคะ ส่วนใครที่เล่นท่าไหนแล้วติดขัด หรืออยากจะแชร์ ก็คอมเม้นท์มาได้เลยค่าา

ข้อดีและคุณประโยชน์ ที่ได้รับออกกำลังกายจากดัมเบล

ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักดัมเบล ในยุคสมัยที่เทรนด์การรักษาดูแลร่างกายกำลังมาแรงในตอนนี้ ทำให้การออกกำลังกายจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากทั้งชายและหญิงการเข้าฟิตเนสก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มาแรงเป็นอันดับต้นๆ ในตอนนี้ ด้วยสิ่งที่ได้รับจากการเข้าฟิตเนส นอกจากร่างกายที่แข็งแรงแล้วยังได้รับหุ่นที่ดีมาอีกด้วย เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในฟิตเนสนั้นจะช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อในส่วนต่างแล้วแต่ผู้เล่นจะเลือกเล่นเฉพาะส่วนไหน บทความนี้จะขอกล่าวถึงทางเลือกของคนรักสุขภาพและอยากมีหุ่นที่ดีแต่ไม่มีเวลาที่จะไปเล่นฟิตเนส หรือกำลังทรัพย์มีจำกัด จึงจะข้อแนะนำอุปกรณ์ที่สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้เหมือนกันโดยไม่จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูง สามารถใช้ได้ทุกที่อุปกรณ์ที่กล่าวมาก็คือ “ ดัมเบล ” ข้อดีและประโยชน์ของดัมเบลมีดังนี้

1. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย : เนื่องด้วยดัมเบลมีให้เลือกซื้อกันหลายรูปแบบหลายราคามีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบแบรนด์และวัสดุที่ใช้ทำมีตั้งแต่เป็นพลาสติก เหล็ก เป็นต้น สำหรับผู้ที่พึ่งหัดเล่นขอแนะนำในราคาที่ไม่แพงมากแบบธรรมดาไปก่อนวัสดุที่ผลิตส่วนมากที่เห็นโดยทั่วไปก็จะเป็นแบบปูนเคลือบด้วยพลาสติก ส่วนผู้ที่เล่นเป็นประจำและเล่นมานานแล้วก็จะแนะนำเป็นแบบเหล็กที่มีแกรนบาร์สามารถปรับเปลี่ยนน้ำหนักได้ หากมีติดบ้านไว้ก็จะไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าเข้าใช้บริการฟิตเนสบ่อยๆ

ดัมเบลราคาถูก

 กดเพิ่มเพื่อนเพื่อติดต่อคุยกับเจ้าหน้าทีได้เลยคับ

2.สร้างกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี : หากต้องการที่จะสร้างกล้ามเนื้อเพื่อให้บุคลิกของคุณดูดีขึ้นไม่จำเป็นเลยว่าคุณจะต้องใช้อุปกรณ์แพงหรือต้องเข้าใช้บริการฟิตเนสทุกวันเพียงแค่มีดัมเบลติดบ้านไว้ ดัมเบลเป็นอุปกรณ์ที่สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนได้เป็นอย่างดี เป็นที่นิยมใช้ในหมู่นักกล้ามเพื่อตกแต่งกล้ามเนื้อให้ดูสวยงาม เช่นการบริหาร Tricep และ Bicep

3.ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย : แน่นอนว่าในปัจจุบันการมีกล้ามเนื้อไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะผู้ชายอีกแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เริ่มที่จะสร้างกล้ามเนื้อเพื่อความกระชับของหุ่นเป็นอย่
างมาก เนื่องด้วยดัมเบลมีให้เลือกหลายขนาด มีตั้งแต่ 1 กิโลขึ้นไป จึงเหมาะสำหรับสาวๆที่พึ่งเริ่มที่จะสร้างกล้ามเนื้อให้กับตัวเอง รวมไปถึงผู้สูงอายุที่ต้องการจะบริหารกล้ามเนื้อแบบเบาๆ

4.ประหยัดพื้นที่ : ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่มากจึงไม่มีปัญหาในการเล่นหรือการจัดเก็บสามารถเล่นได้ทุกที่ ไม่กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างไม่ว่าจะยืนหรือนั่งตรงไหนก็สามารถเล่นได้ตรงนั้นเลย การจัดเก็บก็สะดวกมากสามารถเก็บไว้ใต้โต๊ะ ในลิ้นชัก หรือในตู้เสื้อผ้า เป็นต้น

5.ความสะดวก : ด้วยขนาดที่สามารถพกพาไปที่ไหนก็ได้ทำให้สะดวกต่อการเล่น
ไม่ว่าคุณจะพกไปในวันที่คุณทำงานก็สามารถเล่นได้ระหว่างที่เดินที่หรือระหว่างวันทำงาน หรือจะพกดัมเบลไปในวันหยุดไปเที่ยวต่างจังหวัดก็สามารถนำไปได้โดยไม่อุปสรรคของการท่องเที่ยว

ทั้งนี้การที่จะเล่นดัมเบลผู้เล่นควรศึกษาท่าทางการเล่นอย่างละเอียดเพื่อคุณจะได้มีกล้ามเนื้อที่ดี สวยงาม และลดการเกิดอุบัติเหตุหรืออาการบาดเจ็บ

5 ท่าออกกำลังกายด้วยดัมเบลใช้เวลา 15 นาทีต่อวัน สำหรับผู้ชายงานยุ่ง

5 ท่าออกกำลังกายด้วยดัมเบลใช้เวลา 15 นาทีต่อวัน สำหรับผู้ชายงานยุ่ง

สิ่งสำคัญที่คนอยากออกกำลังกาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำ มักเลือกเป็นข้ออ้างอยู่เสมอๆ ก็คือ การใช้คำว่า “ไม่มีเวลา” อย่างไรก็ตาม หากเรามีเวลานับชั่วโมงๆ เพื่อเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ การจะใช้เวลาสัก 15 นาทีในการออกกำลังกายก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย แต่สำหรับผู้ชายที่มีงานยุ่ง รัดตัว จนยากที่จะปลีกเวลาออกกำลังกาย เอาเป็นว่า ขอเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น เพราะนี่คือ 15 นาทีที่จะทำให้คุณได้ออกกำลังกายครบเกือบทุกส่วน

เงื่อนไขในการออกกำลังกายภายใน 15 นาทีที่ว่านี้ มีเพียงเงื่อนไขเดียว นั่นคือ คุณต้องมีดัมเบล (Dumbbell) ไม่ว่าจะมีน้ำหนักเท่าไรก็ตาม แต่ขอให้เป็นดัมเบลที่คุณสามารถยกไหวภายในห้วงเวลา 15 นาที สำหรับการออกกำลังกาย ส่วนเรื่องพื้นที่ออกกำลังกายก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะมิได้ใช้พื้นที่อะไรมากนัก สามารถใช้พื้นที่ของห้องนอน ห้องรับแขก พื้นที่บางส่วนในโฮมออฟฟิศ ดังนั้นแล้ว ท่าออกกำลังกายที่แนะนำ คุณสามารถทำที่ใดก็ได้นั่นเอง 

ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย 

Dumbbell Deadlift

ท่า Deadlift นับเป็นหนึ่งในท่าออกกำลังกายที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เนื่องจากการฝึกด้วยท่านี้ จะทำให้ร่างกายของเราได้ความแข็งแกร่งของเอ็นหลังหัวเข่า (Hamstrings), กล้ามเนื้อส่วนสะโพก (Glutes) และกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Lower back) ส่วนการออกกำลังกายท่านี้ ควรยืนให้เท้าแยกห่างกันเท่ากับระยะของหัวไหล่ โดยวางดัมเบลไว้ข้างเท้า เมื่อพร้อมแล้วให้เรางอเข่า แล้วยกดัมเบล จากนั้นเหยียดขาขึ้น พยายามอย่าแกว่งแขนช่วย ไม่งั้นร่างกายจะได้การฝึกไม่สมบูรณ์ เมื่อทำสำเร็จแล้ว ให้ทำท่านี้ซ้ำเป็นจำนวน 10 ครั้ง

Dumbbell Biceps Curl

ท่านี้เรียกได้ว่า เป็นท่าเบสิคของการใช้ดัมเบลเลยก็ว่าได้ และถือว่า น่าจะเป็นท่าออกกำลังกายแรกๆ ที่คนรู้จัก และแม้มันจะเป็นท่าที่เบสิคก็จริง ถึงกระนั้นแล้ว Dumbell Biceps Curl ก็ยังเป็นท่าที่ช่วยเสริมกล้ามเนื้อหน้าแขนได้เป็นอย่างดี 

โดยท่าการออกกำลังกายให้เรายืนระยะของเท้าประมาณความกว้างของหัวไหล่ ยืดหลังให้ตรง จากนั้นค่อยๆ ยกน้ำหนักขึ้นมา พยายามรักษาลำตัวให้นิ่งไว้ และอย่าใช้ลำตัวเสริมแรงเด็ดขาด เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อที่เราต้องการพัฒนาไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่ เมื่อทำครบถ้วนทุกกระบวนการแล้ว ให้กลับมาที่ท่าเริ่มต้น ทำแบบนี้ซ้ำเป็นจำนวน 10 ครั้ง

Upright Row

ตามปกติแล้ว ท่านี้คนจำนวนมากมักจะใช้บาร์ในการออกกำลังกาย แต่หากเราออกกำลังกายในบ้าน หรือในพื้นที่แคบๆ การใช้บาร์ดูจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสักหน่อย แต่กระนั้นท่าออกกำลังกาย Upright Row เป็นท่าที่สามารถใช้ดัมเบลออกกำลังกายแทนได้เช่นกัน โดยท่านี้ จะเป็นท่าที่เสริมกล้ามเนื้อหัวไหล่ และหลังช่วงบนให้แข็งแรง รวมถึงยังมีผลต่อกล้ามเนื้อหลังแขน (triceps) เล็กน้อย

ในการออกกำลังกายด้วยท่า Upright Row โดยการใช้ดัมเบลนั้น การยืนควรยืนระยะห่างประมาณสะโพก ส่วนการถือดัมเบลให้ถือแบบคว่ำมือ จากนั้นดึงดัมเบลขึ้นมาในแนวตรงให้ราวๆ ปลายคาง จากนั้นค่อยๆ หย่อนดัมเบลกลับลงไปเป็นท่าเตรียมพร้อม ฝึกด้วยท่านี้ทั้งสิ้น 10 ครั้ง

Renegade Row

อันที่จริงท่านี้ นับว่าเป็นท่าการออกกำลังกายที่ยากท่าหนึ่ง แต่ก็ถือว่า มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจาก Renegade Row เป็นท่าออกกำลังกายที่ได้ครบถ้วนหลายกล้ามเนื้อ เช่น หน้าแขน หลังแขน หัวไหล่ และแผ่นหลัง

ทางด้านการเตรียมความพร้อมในการออกกำลังกายท่า Renegade Row จะให้เตรียมพร้อมเหมือนท่าวิดพื้น พร้อมกับวางดัมเบลในลักษณะแนวตั้งบนระยะเดียวกับหัวไหล่ของเรา จากนั้นให้เราดึงดัมเบลขึ้นมาขนานกับลำตัว ค้างไว้ราวๆ 1 วินาที แล้วกลับสู่จุดเริ่มต้น สลับข้างออกกำลังกาย ถ้าจะให้ดีฝึกข้างซ้ายและขวา ข้างละ 10 ครั้ง แต่ถ้าไม่ไหว อนุโลมฝึกข้างละ 5 ครั้งได้

Lateral Lunge With Dumbbells

และท่าสุดท้ายที่แนะนำ เป็นท่าที่จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อช่วงล่างของร่างกายตั้งแต่ต้นขาด้านหน้า และสะโพก ซึ่งท่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องท่ายากในการออกกำลังกายนัก เพียงเริ่มจากการยืนระยะหัวไหล่ พร้อมกับประคองดัมเบลอยู่บริเวณหน้าอก จากนั้นให้ก้าวเท้าซ้ายหรือขวาก็ได้ไปด้านข้าง สมมติว่า เลือกก้าวเท้าซ้ายไปด้านข้าง เท้าขวาจะต้องยืนอยู่กับที่ ให้เราก้าวเท้าซ้ายออกไปให้ไกลที่สุดจนขนานกับพื้นให้มากที่สุด แล้วให้รีบดันตัวโดยเร็ว สลับไปเป็นเท้าขวาบ้าง ทำซ้ำเช่นนี้ข้างละ 10 ครั้ง 

ดัมเบลเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการออกกำลังกายที่หลายคนมีไว้ที่บ้าน

1. วิธีการจับดัมเบลที่ถูกต้องนั้น ควรจับด้วยให้แน่นโดยให้ดัมเบลอยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เวลาถือก็ไม่ควรหักข้อมือขึ้นลง

1. Hold Dumbbell

2. การยกดัมเบลเหนือศีรษะเพื่อเน้นส่วนแผ่นหลังนั้น (Overhead Triceps Extensions) เวลายกข้อศอกต้องอยู่นิ่ง แนบชิดกับศีรษะ ไม่ขยับขึ้นลงหรือแยกออกจากกันมากจนเกินไป

2.elbows-out

3. การยกดัมเบลเหนือศีรษะ (Overhead Presses) จะต้องหลังตรง ไม่หลังค่อมหรือแอ่นไปข้างหน้าจนเกินไป

3.pop-butt

4. การยกดัมเบลขึ้นลงเร็วๆ ไม่ใช้สิ่งที่ถูกต้อง ควรเคลื่อนอย่างช้าๆ เพื่อเน้นกล้ามเนื้อแต่ละส่วน

4.rush-rep-wrong

5. ท่า  Dumbbell Rows หลังคุณต้องยืดหลังให้ตรง ไม่งอ หรือก้ม

5.curve-your-back-1

6. ไม่ควรก้มหน้าเมื่อทำท่าสควอตกับดัมเบล (weighted squats)

6.head-down

7. ท่า Triceps Kickbacks หรือการยกดัมเบลไปด้านหลัง ข้อศอกของคุณควรตั้งตรง สูงเหนือลำตัว และเหยียดแขนไปด้านหลังให้สุดเท่าที่จะทำได้

7.kick-backs

8. การยกดัมเบลขึ้นลงของท่า Biceps Curls ควรขึ้นและลงให้สุดแขน

8.extend

9. ไม่ควรเหวี่ยงตัวหรือใช้แรงจากลำตัวในการยกเวท ควรโฟกัสใช้แรงเฉพาะแขนเท่านั้น….

9.momentum

10. การหายใจที่ถูกต้องขณะยกเวทคือ หายใจออก (Exhale) ผ่านทางปากขณะออกแรงยกดัมเบล และสูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่านทางจมูก (Inhale) เมื่อผ่อนแรงลง

10.Breath

ดัมเบลสำหรับยกน้ำหนักสามารถใช้กับการออกกำลังกายทั้งแบบเวท

ตั้งชื่อภาพ Work out With Dumbbells Step 1

1เลือกน้ำหนักของดัมเบลให้เหมาะสมกับคุณ. ถ้าหากคุณไม่เคยออกกำลังกายแบบเวท เทรนนิ่งมาก่อน คุณควรจะเลือกใช้ดัมเบลที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นออกกำลังกายแบบดังกล่าว โดยคุณสามารถซื้อเซ็ตดัมเบลที่ประกอบไปด้วยดัมเบลที่มีน้ำหนักต่างกัน เพื่อจะได้สามารถเลือกใช้อันที่มีน้ำหนักเบาในการเริ่มต้นออกกำลังกายได้ หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือซื้อดัมเบลชนิดที่สามารถปรับน้ำหนักได้ เพื่อที่คุณจะได้เพิ่มน้ำหนักของดัมเบลให้เหมาะสมกับความต้องการและการออกกำลังกายของคุณ

  • ถ้าหากคุณต้องการรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรง ไม่ได้ต้องการเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อของคุณ ให้คุณเลือกใช้ดัมเบลที่มีน้ำหนักพอเหมาะสำหรับทำซ้ำท่าออกกำลังของคุณให้ได้จำนวน 12 ถึง 20 ครั้ง โดยไม่หมดแรงเสียก่อน
  • ถ้าหากเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มความแข็งแกร่งและสร้างมวลกล้ามเนื้อ ให้คุณเลือกใช้ดัมเบลที่มีน้ำหนักพอสำหรับการทำท่าบริหาร 8 ครั้ง เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักและเหนื่อยเกินไป
  • เลือกใช้ดัมเบลที่มีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่าไม่ต้องใช้ความพยายามเท่าใดนักในการออกกำลังกายให้จบหนึ่งเซ็ตการบริหาร
ตั้งชื่อภาพ Work out With Dumbbells Step 2

2 ในการเริ่มต้นออกกำลังกาย ให้ตั้งใจและใส่ใจกับวิธีการมากกว่าจำนวนครั้งในการทำท่าบริหาร. เพื่อให้การออกกำลังของคุณเป็นไปอย่างปลอดภัยและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อกล้ามเนื้อของคุณ ให้คุณใส่ใจและค่อยๆ ทำท่าบริหารอย่างถูกวิธี ไม่ใช่รีบทำเพียงเพื่อให้ครบจำนวนครั้งของการบริหาร ทั้งนี้เพราะน้ำหนักของดัมเบลก่อให้เกิดการตึงของกล้ามเนื้อ จึงต้องการการรักษาระดับของการทำท่าบริหารที่มั่นคงและการออกแรงต้านของกล้ามเนื้อที่เพียงพอ การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และถูกวิธีจึงจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมการทำท่าบริหารและจดจ่อไปที่กล้ามเนื้อส่วนที่คุณต้องการได้

  • การทำท่าบริหารอย่างช้าๆ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและบริหารร่างกายได้ดีกว่า เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่บริหารอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคง สามารถรองรับน้ำหนักในขณะทำท่าบริหารและบริหารร่างกายได้นานขึ้น
  • ในขณะทำท่าบริหาร ให้ระวังอย่าใช้อวัยวะส่วนอื่นมาทุ่นแรงกล้ามเนื้อส่วนที่คุณต้องการบริหาร ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งใจที่จะบริหารกล้ามเนื้อแขนในท่า bicep curl ก็ให้แน่ใจว่าคุณใช้กล้ามเนื้อแขนในการออกแรงยก และอยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อหลังช่วยออกแรง
ตั้งชื่อภาพ Work out With Dumbbells Step 3

3. สังเกตุท่าทางในการบริหารร่างกาย. ในขณะที่คุณออกกำลังกายโดยใช้ดัมเบลนั้น การใส่ใจในเรื่องท่าทางและตำแหน่งของร่างกายนับเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณได้บริหารกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ในแต่ละครั้งที่คุณทำท่าบริหาร อีกทั้งยังช่วยป้องกันโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บอีกด้วย การวางข้อมือ ข้อศอก แขน และขาในตำแหน่งที่ถูกต้อง จึงช่วยป้องกันการเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ความพยายามในการออกกำลังกายของคุณบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ

  • บริหารร่างกายหน้ากระจก จะช่วยให้คุณเห็นได้ว่า คุณทำท่าบริหารร่างกายโดยใช้ดัมเบลได้ถูกต้องหรือไม่
  • ลองดูคลิปวีดิโอออกกำลังกาย อ่านบทความในนิตยสาร หรือพูดคุยกับสต๊าฟที่โรงยิม หากคุณต้องการคำแนะนำเรื่องวิธีบริหารร่างกายอย่างถูกต้อง หรือไม่อย่างนั้น เทรนเนอร์ก็สามารถสอนและฝึกท่าทางการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องในการใช้ดัมเบลให้กับคุณได้เช่นกัน